การฉายแสง LED (Light-Emitting Diode) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลผิวพรรณ โดยใช้ความเข้มแสงสูงมากพอในระดับ จูลล์/ตารางเซนติเมตร และจะต้องมีค่าความสว่าง (Milicandela Rating) ในอัตราที่สูง จึงจะสามารถทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิว ช่วยกระตุ้นกลไกการฟื้นฟูของเซลล์ผิวได้ โดยแสงที่ใช้รักษาจะมีหลายสี ซึ่งแสงแต่ละสีจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน เพื่อบำบัดผิว แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป
การฉายแสง LED ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 4 สี ประกอบด้วย สีฟ้า สีแดง สีเขียว และสีเหลือง โดยในการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED จะฉายแสง LED เพียงสีเดียว หรือ 2 สีก็ได้ ซึ่งแพทย์จะประเมินจากปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคลก่อน
แสงสีฟ้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสิวและลดการอักเสบ ทั้งสิวอักเสบ สิวที่เกิดจากสารสเตียรอยด์ สิวจากอาการแพ้ต่างๆ โดยจะเข้าไปทำการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า P.Acne (Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทำให้ลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันน้อยลง จึงลดความมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดสิวอุดตันได้
แสงสีเขียว มีคุณสมบัติในการรักษารอยดำ ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ปรับสีผิวให้กระจ่างใส เช่นเดียวกับแสงสีเหลือง แต่จะนิยมใช้ลดรอยดำมากกว่า ทั้งยังช่วยรักษาอาการแพ้ต่างๆ ได้ด้วย
แสงสีเหลือง มีคุณสมบัติในการลดเลือนฝ้า กระ ลดการสร้างเม็ดสี ช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใส รักษาเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง และช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
แสงสีแดง มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นเซลล์ จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า ปรับผิวให้เรียบเนียน อิ่มฟู และลดการอักเสบของผิว แพทย์อาจแนะนำให้ฉายแสง LED สีฟ้าที่ช่วยรักษาสิวร่วมด้วย ในเคสที่มีการกดสิว โดยแสง LED สีแดงจะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่มีการกดสิวแข็งแรงขึ้น และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น